วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ประวัติเนสท์เล่
เนสท์เล่เป็นบริษัทด้านโภชนาการและสุขภาพชั้นนำของโลก จากแนวคิด "Good Food, Good Life" พันธกิจของเราคือการมอบทางเลือกที่มีรสชาติและคุณค่าด้านโภชนาการสูงสุดใน รูปแบบของผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่มและโอกาสในการรับประทานที่หลากหลาย ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ
เนสท์เล่ก่อตั้งในปี 1866 โดย อองรี เนสท์เล่ ในเมืองเวเวย์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของเนสท์เล่ บริษัทมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 280,000 คนและมีโรงงานหรือสำนักงานอยู่ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก
ประวัติของเนสท์เล่ความเป็นมาของเนสท์เล่ในประเทศไทย ได้เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2436 ดังปรากฏหลักฐานเป็นภาพโฆษณา ชิ้นแรกของนมข้นหวานตรา แหม่มทูนหัวลงในหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ ฉบับประจำวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2436 จากนั้นธุรกิจประสบความสำเร็จด้วยดีโดยการนำผลิตภัณฑ์หลายชนิดเข้ามา จาก ต่างประเทศ และในปี พ.ศ. 2490 ได้มีการจัดตั้งบริษัท โปรเนสยาม อินค์จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ เนสท์เล่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 ผลิตภัณฑ์เนสท์เล่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและมีความต้องการ ผลิตภัณฑ์เนสท์เล่ ในเมืองไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับภาวะการลงทุนที่เอื้ออำนวย เนสท์เล่จึงได้ สร้างโรงงานผลิตขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นก้าวแรกของการสร้างฐานการผลิตในประเทศไทย

ปัจจุบัน กลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย มีโรงงานผลิต 7 แห่ง มีพนักงาน 2,800 คน ทำการผลิตและ
จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ทั่วประเทศภายใต้เครื่องหมายการค้าที่ มีชื่อเสียง เช่น เนสท์เล่ตราหมี เนสกาแฟ เนสท์เล่คอฟฟีเมต เนสท์เล่ไมโล เนสท์เล่เพียวไลฟ์ เนสวิต้า เนสท์เล่ไอศกรีม และเนสท์เล่เพียวริน่า ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงของเนสท์เล่เหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดี และได้รับการยอมรับ จากผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย

บทบาทของเนสท์เล่ในประเทศไทยมิได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มคุณภาพสูงหลากหลายชนิดเท่านั้น แต่ยังมีความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ส่งเสริมและสนับสนุนโครงการต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ตลอดจนให้ความช่วยเหลือ ภาคเกษตรในโครงการพัฒนาพืชผลสำหรับเกษตรกรในท้องถิ่น และมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจ ในรูปแบบการพึ่งพาตนเองโดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

กลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย กลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย กลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย กลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย


วิสัยทัศน์
เนสท์เล่มุ่งมั่นที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำของโลกทางด้านโภชนาการ เพื่อการมีสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดี จุดมุ่งหมายนี้ได้ถูกถ่ายทอดภายใต้คำขวัญที่ว่า “Good Food, Good Life” อันแสดงถึงคำมั่นสัญญาของเนสท์เล่ที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทั้งความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งจะส่งผลให้เราได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคในระยะยาว
ศูนย์วิจัยเนสท์เล่เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันใน เชิงธุรกิจ ทำให้เนสท์เล่ก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารที่มุ่งเน้นโภชนาการ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดี
เนสท์เล่เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารที่มีเครือข่ายวิจัยและพัฒนาสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีนักวิจัยกว่า 5,000 คนในศูนย์วิจัย 29 แห่งทั่วโลก ทำการค้นคว้า วิจัย และการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ร่วมกันกับผู้เชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแต่ละประเทศ
เนสท์เล่ยังร่วมมือกับหุ้นส่วนทางธุรกิจที่สำคัญ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในด้านการวิจัย และพัฒนาตลอดทั้งกระบวนการผลิต โดยร่วมมือกับบริษัทค้นคว้าด้านเทคโนโลยีชีวภาพนับตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนาสินค้าไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายในการผลิตสินค้า
การร่วมมือกันระหว่างศูนย์วิจัยเนสท์เล่ทั่วโลก ทำให้เนสท์เล่สามารถผลิตสินค้าที่ปลอดภัย และมีคุณภาพสูงสู่ผู้บริโภคทั่วโลก นอกจากจะต้องมีรสชาติที่ดีแล้วยังครอบคลุมทั้งเรื่องโภชนาการ สุขภาพและร่างกายที่ดีอีกด้วย เหนื่อสิ่งอื่นใด คุณภาพสินค้า และความปลอดภัยในทุกผลิตภัณฑ์ที่ไปสู่ผู้บริโภคเป็นสิ่งที่เนสท์เล่ให้ความสำคัญสูงสุด
ศูนย์วิจัยเนสท์เล่ยึดหลักและกฏระเบียบในการผลิต รวมทั้งการพิจารณากฏระเบียบเฉพาะของแต่ละประเทศในทุกขั้นตอนการพัฒนาสินค้า จึงทำให้เนสท์เล่สามารถผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
นักวิทยาศาสตร์ของเนสท์เล่ยังมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ในด้านโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพแก่ผู้บริโภค เช่นเดียวกับนักโภชนาการของเนสท์เล่ทั่วโลกที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อให้มั่นใจได้ว่าการให้ข้อมูลทางโภชนาการทั้งบนบรรจุภัณฑ์และสื่อต่างๆ นั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์และเข้าถึงผู้บริโภค
ในอนาคตศูนย์วิจัยเนสท์เล่จะใช้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มากไปกว่าการให้คุณค่าทางโภชนาการ โดยยึดหลัก 2 ประการคือ
การวิจัยพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
การใช้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค
วิสัยทัศน์นี้เป็นเป้าหมายในระยะยาวของศูนย์วิจัยเนสท์เล่ และนี่เป็นข้อมูลเพียงบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการของศูนย์วิจัย เนสท์เล่ เพื่อการก้าวไปสู่เป้าหมายในอนาคต


พันธกิจ
ที่ศูนย์วิจัยเนสท์เล่ เรามุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อส่งมอบคุณค่าทางโภชนาการ สุขภาพ
และคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค
การวิจัยและการพัฒนา
นวัตกรรมคือหนึ่งในความได้เปรียบด้านการแข่งขันที่สำคัญของเนสท์เล่ เราได้ดำเนินการทางด้านการวิจัย พัฒนา และสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากว่า 140 ปี แม้ในขณะที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ในศูนย์วิจัยและพัฒนาระดับโลกของเรา เนสท์เล่ก็ยังคอยดูแลให้ผู้บริโภคและประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นวัตถุประสงค์หลักในทุกๆ กิจกรรมที่เราดำเนินการ


 4 Ps

 หนึ่งในแนวคิดในทางธุรกิจทุกวันนี้ คือ การก้าวทันโลกทางธุรกิจ การฟันฝ่าอุปสรรคและกลยุทธ์ต่าง ๆ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในทางธุรกิจเพื่อเข้าสู่การตลาดใหม่ ๆ จะเน้นจุดขาย หรือการตลาดภายในประเทศ Nestlé ผู้ผลิตสินค้าบริโภคแห่งสวิตเซอร์แลนด์ มีเครือข่ายทั่วโลก เริ่มก่อตั้งในปี ค.ศ. 1866 Nestlé เป็นยักษ์ใหญ่ในทางธุรกิจ เพราะว่า
1.           Nestlé มีโรงงาน 74 แห่ง ทั่วโลก ใน 193 ประเทศ
2.           จำหน่าย นม กาแฟ ช็อกโกแลตแท่ง และอื่น ๆ
3.           ไม่มีตัวแทนจำหน่ายในเกาหลีเหนือ แต่มีการจัดวางสินค้าตามห้างสรรพสินค้า
4.           พนักงานของบริษัท Nestlé ประจำอยู่นอกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถึงร้อยละ 97
องค์การสหประชาชาติจัดให้บริษัท Nestlé เป็นบริษัทที่มีเครือข่ายครอบคลุมทางด้านธุรกิจสูงที่สุดในโลก แต่ละปีมีการเพิ่มส่วนแบ่งตลาด รายได้และกำไรของบริษัทอยู่ตลอดเวลา Nestlé เน้นหลักพื้นฐานในการบริหาร 4 อย่าง คือ
1.  คำนึงถึงผลกำไรในระยะยาวมากกว่าความสามารถในการทำกำไรระยะสั้น
2.  Nestle ยึดหลักการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง
3.  บริษัทยึดในสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญว่าเป็นการดีที่สุด
4.  เน้นคุณภาพในการปรุงแต่งรสชาติให้เข้ากับรสนิยมในท้องถิ่น คือผลิตสินค้าตรงตามต้องการของท้องถิ่น
                     ในการตัดสินเรื่องต่าง ๆ ของ Nestlé จะคำนึงถึงผลกำไรในระยะยาว ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้ Nestlé ได้จ่ายค่าใช้จ่ายให้บริษัท Perrier and Rowntee ซึ่งเป็นผู้ผลิตลูกอมแห่งอังกฤษ โดยนักวิเคราะห์หลายฝ่ายพิจารณาแล้วเห็นว่าแพงมาก แต่ Nestlé ได้โต้ตอบว่า แม้ว่าบริษัทอยากเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่านี้ แต่การจ่ายครั้งนี้ก็คุ้มค่ากับธุรกิจที่ได้มาเพราะมิได้คาดหวังถึงกำไรที่จะได้มาในทันที แต่จะค่อย ๆ ทำกำไรเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี การกระจายอำนาจจากส่วนกลางเป็นนโยบายหลักของ Nestlé ผู้จัดการแต่ละท้องถิ่นจะเป็นผู้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแต่ผู้เดียวและทำรายงานสรุปผลงานทุก 3 เดือน ไปที่สำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Vevey  สวิตเซอร์แลนด์ ทำในสิ่งที่เชี่ยวชาญในกระบวนการผลิตและการตลาด ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ กลัว ๆ กล้า ๆในการลงทุนระยะยาว แต่ Nestlé ยังคงเน้นเฉพาะธุรกิจหลักของตน อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์ นมผงสำหรับทารก กาแฟ ช็อกโกแลต ซุป น้ำดื่มบรรจุขวด ไอศกรีม ซีเรียล อาหารสัตว์ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ติดอันดับ 1 หรือ 2 ของส่วนแบ่งตลาดโลก นอกจากผลิตภัณฑ์อาหารแล้ว Nestlé ได้ลงทุนไปกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง L´oréal ประมาณร้อยละ 26.3

แม้ว่า Nestlé ยังคงดำเนินธุรกิจด้านอาหาร แต่ยังเน้นความสำคัญของการปรุงแต่งรสชาติให้เข้ากับท้องถิ่นนั้น  ๆ ดังตัวอย่าง กาแฟสำเร็จรูปของยุโรปแต่ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่งในสหรัฐอเมริกา เหมือนกรณีที่ชาวยุโรปชอบบริโภคซุปที่มีชิ้นเนื้ออยู่ในน้ำซุป แต่ชาวยุโรปบริโภคแต่น้ำซุปไม่มีชิ้นเนื้อ Nestlé จึงใช้สูตรนี้ในการผลิตสินค้าของตนสู่ตลาด Nestlé ยังกล่าวว่า Nestlé ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกดังในกรณีที่ Nestlé ได้รับรายได้ประมาณร้อยละ 2 จากยอดขายในตะวันออกกลาง ผู้บริหารของ Nestlé เล็งเห็นช่องทางในการขยายตลาดให้กว้างขวางทั่วทั้งพื้นที่และยิ่งไปกว่านั้นยังมีสินค้าบริโภคประเภทอาหารและกลุ่มของอาหารอีกมากมายที่ Nestlé จะพัฒนาปรับปรุงขึ้นอีกต่อไป ดังนั้น ความคิดดังกล่าวอาจพูดได้ว่า อนาคตของ Nestlé ดูเหมือนจะรุ่งโรจน์ เป็นยักษ์ใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์